วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555
อุทยานแห่งชาติ ของ จังหวัดสุราษฏธานี
|
ประวัติความเป็นมาของ จังหวัดสุราษฏธานี
|
มีลักษณะพัฒนาการแบบก้าวกระโดดจากชุมชนที่ได้เครื่องมือหินขัด เข้าสู่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์โดยไม่พบพัฒนาการของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะเหมือนชุมชนในภูมิภาคอื่นๆ คือไม่พบพัฒนาการของชุมชน ที่ใช้โลหะสำริดอย่างเดียวโดยไม่มีเครื่องมือเหล็กปะปน แต่จะพบโลหะทั้งสองอย่างร่วมกัน ชุมชนในยุคนี้น่าจะมีอายุไม่เกินกว่า2,500 ปี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ของสุราษฎร์ธานีค่อนข้างขาดแคลน ต้องอาศัยหลักฐานจากภายนอกมาเป็นตัวประกอบ หลักฐานเอกสารต่างประเทศได้แก่ หนังสือมหาวงศ์ หนังสือจุลวงศ์ พงศาวดารลังกา และจารึกของบัณฑยะในอินเดียใต้ ได้กล่าวว่าพระเจ้าจันทรภาณุได้ยกกองทัพไปโจมตีลังกาสองครั้ง ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 2 แห่งลังกา การรบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.1790 และครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ.1813 ต้องพ่ายแพ้แก่กองทัพลังกาทั้งสองครั้ง ในห้วงเวลานี้นครรัฐตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราช จะต้องยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง จึงเชื่อว่าเมืองไชยาตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 น่าจะอยู่ในอาณาจักรของนครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ฯ ได้แผ่อำนาจลงมายังดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยทั้งหมด ดินแดนประวัติศาสตร์รอบอ่าวบ้านดอนถือเป็นศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยที่สะสมอารยธรรมและ สืบทอดกันมายาวนานจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ทราบว่าสภาพภูมิศาสตร์ทำให้มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการพัฒนาการของเมืองเป็นอย่างยิ่ง สุราษฎร์ธานีเป็นศูนย์กลางชุมชนเมืองที่ถูกจัดตั้งด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์รอบอ่าวบ้านดอน เป็นศูนย์กลางการค้าขายนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยพัฒนามาพร้อม ๆ กับชุมชนโบราณอีกหลายแห่งที่อยู่บริเวณรอบอ่าวบ้านดอน ประกอบด้วยชุมชนเมืองสำคัญ ๆ เช่น เมืองไชยา เมืองโบราณมีศูนย์กลางที่ราบลุ่มคลองไชยาเกิดขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ 10 เกิดผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมด้านศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธแบบเถรวาท มีชื่อเสียงมากเมื่อครั้งวัฒนธรรมศรีวิชัยเจริญรุ่งเรื่องในราวพุทธศตวรรษที่ 13-17 เมืองไชยาเป็นเมืองหนึ่งในเมืองสิบสองนักษัตรของอาณาจักรนครศรีธรรมราช ชื่อว่าเมืองบันไทยสมอ เมืองเวียงสระ มีอายุรุ่นเดียวกับเมืองไชยาอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำตาปี และแม่น้ำพุมดวง มีศูนย์กลางอยู่บริเวณตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่11 - 15 หรือ 16สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ ติดต่อกับทางทะเลไม่ได้การคมนาคมลำบากความสำคัญจึง ลดถอยลงไป เป็นเพียง การขยายชุมชน สะสมแหล่งอาหารเพื่อบำรุงเมืองเท่านั้น เมืองคีรีรัฐนิคมเป็นเมืองขนาดเล็กที่เป็นบริวารของเมืองเวียงสระ เรียกกันว่าเมือง " ธาราวดี "บ้าง " คงคาวดี " บ้าง มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาโอบล้อมไปด้วยลำน้ำที่ไหลผ่าน เดิมเมืองนี้ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำรอบ ภายหลังมาขึ้นกับเมืองตะกั่วป่าและยังไม่มีการปกครองเป็นหัวเมืองจึงเรียกกันว่า " คีรีรัฐนิคม " เมืองนี้มิได้เป็นศูนย์กลางทางการค้าแต่เป็นเมืองหน้าด่านควบคุมสินค้าทางเดินบกข้ามแหลมมลายูระหว่างฝั่งทะเลตะวันตกกับฝั่งทะเลตะวันออก เมืองท่าทองเป็นเมืองขนาดใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นเมืองสิบสอง นักษัตรของนครศรีธรรมราช ชื่อ "เมืองสะอุเลา"ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มลำน้ำท่าอุแท และคลองกะแดะควบคู่กันในอำเภอกาญจนดิษฐ์ อายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เป็นต้นมา เป็นชุมชนกระจัดกระจายพบว่าตำบลช้างขวาและใกล้เคียงมีศิลปกรรมสมัยทราวดี สมัยตั้งแต่รัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้นมา ได้มีการฟื้นฟูบูรณะวัดต่างๆ ในเมืองไชยาที่สำคัญคือ วัดพระบรมธาตุ ให้เป็นวัดสำคัญประจำเมืองไชยา บทบาทของเมืองในสุราษฎร์ธานีในสมัยอยุธยา ค่อนข้างราบเรียบ คงจะเป็นเพราะศูนย์กลางการค้าทางทะเล ได้เปลี่ยนสถานที่ไปทำให้บทบาทของเมืองต่าง ๆ น่าจะเป็นเมืองกสิกรรมไม่โดดเด่นเช่นเมืองปัตตานี สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ.2328 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกกองทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ เมืองไชยา และเมืองท่าทอง ได้รับความเสียหายมาก ผู้คนอพยพออกไปจากตัวเมือง เข้าใจว่าน่าจะย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่พุมเรียง พุมเรียงได้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองไชยา จนกระทั่งมีการสร้างทางรถไฟสายใต้ ผ่านเมืองไชยา ทำให้ศูนย์กลางเมืองไชยาได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟ การที่เมืองไชยาเก่าบริเวณที่ตั้งวัดเรียง ย้ายไปอยู่ที่พุมเรียงเป็นเวลาประมาณศตวรรษเศษ เป็นเหตุให้วัดต่าง ๆ ในเมืองไชยาที่เคยเจริญมาตั้งแต่ครั้งอยุธยากลายสภาพเป็นวัดร้าง เช่นวัดพระบรมธาตุไชยา วัดแก้วกาหลง เป็นต้นในปี พ.ศ.2375 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) มาตั้งอู่เรือที่บ้านดอนและเมืองท่าทอง ตั้งเป็นโรงอู่ต่อเรือกำปั่นแปลงขนาดยาว 11 วา ทั้งเรือพระที่นั่ง และเรือรบ สำหรับทะเลเพื่อใช้ในราชการจำนวน 31 ลำ ด้วยทรงเห็นว่าชาวเมืองมีความรู้ความชำนาญในการต่อเรือมาแต่เดิม และมีไม้ตะเคียนทองที่มีคุณภาพดี หาได้ง่าย จากพื้นที่บริเวณคลองพุมดวง คลองยัน และคลองท่าทอง ในปี พ.ศ.2394 - 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน เพราะมีผู้คนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่น นับตั้งแต่เจ้าพระยานคร (น้อย) เข้ามาตั้งกองต่อเรือ พระราชทานนามเมืองใหม่ว่า เมืองกาญจนดิษฐ์ ยกฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ และได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นายพุ่ม บุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นพระยากาญจนดิษฐ์บดี ครองเมืองกาญจนดิษฐ์ ในปี พ.ศ.2439 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกเลิกระบบกินเมือง มาเป็นระบบเทศาภิบาล ในปี พ.ศ.2440 ได้มีตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ฉบับแรกในภาคใต้ แบ่งเขตการปกครองเป็นสายมณฑลได้แก่ มณฑลภูเก็ต มณฑลชุมพร และมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพรได้รวมเมืองไชยา เมืองกาญจนดิษฐ์ (บ้านดอน) เมืองหลังสวน และเมืองชุมพร โปรดให้รวมเมืองไชยา และเมืองกาญจนดิษฐ์ เข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า เมืองไชยา (เป็นไชยาที่บ้านดอน) ชาวบ้านจึงเรียกชื่อเป็นไชยาเก่าคือ ไชยาที่พุมเรียง และไชยาใหม่คือ ไชยาที่บ้านดอน ต่อมาทางกรุงเทพ ฯ ได้ย้ายศูนย์กลางของมณฑลจากชุมพรมาอยู่ที่ไชยา (บ้านดอน) ผู้ที่มาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคือ พระยามหิบาลบริรักษ์ คนต่อมาคือ พระยาคงคาวราธิบดี ครองตำแหน่งมาถึงปี พ.ศ.2468 ในปี พ.ศ.2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ได้ประทับแรมที่ตำหนัก ณ ควนพุนพิน หรือควนท่าข้าม ทรงทอดพระเนตรเห็นประชาชนพลเมือง มีกิริยามารยาทเรียบร้อยและทรงทราบจากเจ้าเมืองว่า ประชาชนตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเคารพหนักแน่นในพระพุทธศาสนา จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา (บ้านดอน) เป็นเมืองสุราษฎร์ธานี ทรงเปลี่ยนชื่อแม่น้ำหลวงเป็นแม่น้ำตาปี ตามชื่อแม่น้ำตาปติในอินเดีย ซึ่งที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำมีเมืองชื่อ สุรัฎฐ (สุราษฎร์) จึงทรงพระราชทานนามอันเป็นมงคลไว้ แกละโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายศาลาว่าการมณฑลมาตั้งที่บ้านดอน บริเวณเดียวกับศาลากลางเมืองไชยา ให้ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอ และเชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นชื่ออำเภอ เมืองไชยาเก่าให้เปลี่ยนเรียกว่าอำเภอพุมเรียง (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองไชยา เมื่อปี พ.ศ.2480 และได้ตัดคำว่าเมืองออกเมื่อปี พ.ศ.2491) ทรงเปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎรธานี ในปี พ.ศ.2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ยุบมณฑลสุราษฎร์มาขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ.2476 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2476 ทำให้ระบบเทศาภิบาลถูกยกเลิกไป จังหวัดสุราษฎรธานีจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย |
ศิลป วัฒนธรร ประเพณี ที่สำคัญ ของจังหวัดสุราษฏธานี
ประเพณีและวัฒนธรรม
ประเพณีชักพระทอดผ้าป่าและแข่งขันเรือยาวของจังหวัดสุราษฏร์ธานี ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งก็คืองานเดือนสิบเอ็ด ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับเทศกาลออกพรรษา กิจกรรมที่สำคัญได้แก่การประกวดเรือพระ ซึ่งจะมีทั้งเรือพระ (บก) และเรือพระ (น้ำ) ซึ่งเรือพระก็จะเปนหารตกแต่งให้สวยงามโดยการแกะสลักไม้ ตกแต่งจำลอง เสมือนฉากที่พระพุทธเจ้ากลับมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึง ซึ่งผู้ที่ได้ลากเรือพระจะได้บุญมาก การประกวดพุ่มผ้าป่าจะเปนการจำลองพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าแสดงออกเป็นฉาๆ ซึ่งทางส่วนราชการ และเอกชนจะมีการประกวดกัน นอกจากนี้ ยังมีการติดพุ่มผ้าป่าโดยเปนการติดของใช้สำหรับพระภิกษุสงค์และจัดเงินและ ของมาทำบุญกัน ทั่วทั้งเมืองในรุ่งเช้าวันชักพระ จัดขึ้นบริเวณเขื่อนลำนำตาปีไล่ไปตั้งแต่บริเวณศาลหลักเมืองจนกระทั่งถึง โรงแรมวังใต้ ขึ้นอยู่กับจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่าในแต่ละปีจะเลือกเอาบริเวณใด ซึ่งประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งขันเรือยาวทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีจะจัดเปนงานใหญ่ที่สุดในภาคใต้
ประเพณีชักพระทอดผ้าป่าและแข่งขันเรือยาวของจังหวัดสุราษฏร์ธานี ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งก็คืองานเดือนสิบเอ็ด ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับเทศกาลออกพรรษา กิจกรรมที่สำคัญได้แก่การประกวดเรือพระ ซึ่งจะมีทั้งเรือพระ (บก) และเรือพระ (น้ำ) ซึ่งเรือพระก็จะเปนหารตกแต่งให้สวยงามโดยการแกะสลักไม้ ตกแต่งจำลอง เสมือนฉากที่พระพุทธเจ้ากลับมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึง ซึ่งผู้ที่ได้ลากเรือพระจะได้บุญมาก การประกวดพุ่มผ้าป่าจะเปนการจำลองพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าแสดงออกเป็นฉาๆ ซึ่งทางส่วนราชการ และเอกชนจะมีการประกวดกัน นอกจากนี้ ยังมีการติดพุ่มผ้าป่าโดยเปนการติดของใช้สำหรับพระภิกษุสงค์และจัดเงินและ ของมาทำบุญกัน ทั่วทั้งเมืองในรุ่งเช้าวันชักพระ จัดขึ้นบริเวณเขื่อนลำนำตาปีไล่ไปตั้งแต่บริเวณศาลหลักเมืองจนกระทั่งถึง โรงแรมวังใต้ ขึ้นอยู่กับจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่าในแต่ละปีจะเลือกเอาบริเวณใด ซึ่งประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งขันเรือยาวทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีจะจัดเปนงานใหญ่ที่สุดในภาคใต้
งานวันเงาะโรงเรียน
หากจะกล่าวถึงผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วเชื่อเลยว่าทุกคนย่อมนึกถึง เงาะ ขึ้นเป็นลำดับแรก และเป็นความภูมิใจของชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเสียด้วย เพราะเงาะที่นี่จะไม่เหมือนเงาะที่อื่น หวาน ร่อน กรอบ เป็นที่ประทับใจไปทั่ว ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจดังกล่าวจังหวัดสุราษฎร์ธานีจึงจัด ให้มีการนำผลผลิตดังกล่าวและผลผลิตอื่น ๆ มาจำหน่ายและตั้งชื่อว่า งานวันเงาะโรงเรียน จัดขึ้นประมาณต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี
หากจะกล่าวถึงผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วเชื่อเลยว่าทุกคนย่อมนึกถึง เงาะ ขึ้นเป็นลำดับแรก และเป็นความภูมิใจของชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเสียด้วย เพราะเงาะที่นี่จะไม่เหมือนเงาะที่อื่น หวาน ร่อน กรอบ เป็นที่ประทับใจไปทั่ว ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจดังกล่าวจังหวัดสุราษฎร์ธานีจึงจัด ให้มีการนำผลผลิตดังกล่าวและผลผลิตอื่น ๆ มาจำหน่ายและตั้งชื่อว่า งานวันเงาะโรงเรียน จัดขึ้นประมาณต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี
การละเล่นพื้นบ้าน
* การละเล่นเด็ก ได้แก่ จุ้มจี้ จี้จิบ ลูกหวือ ชักลูกยาง ทองสูง กบกับ หมากโตน บอกโผละ ลูกฉุด ทอยหลุม เหยก เตย และหมากขุม
* การละเล่นผู้ใหญ่ ได้แก่ เพลงชักพระอำเภอเกาะพะงัน เพลงบอก เพลงนา คำตัด ลิเกป่า มโนห์รา และหนังตะลุง
* การละเล่นเด็ก ได้แก่ จุ้มจี้ จี้จิบ ลูกหวือ ชักลูกยาง ทองสูง กบกับ หมากโตน บอกโผละ ลูกฉุด ทอยหลุม เหยก เตย และหมากขุม
* การละเล่นผู้ใหญ่ ได้แก่ เพลงชักพระอำเภอเกาะพะงัน เพลงบอก เพลงนา คำตัด ลิเกป่า มโนห์รา และหนังตะลุง
อาหารพื้นบ้าน * ได้แก่ ผัดไทยไชยาและผัดไทยท่าฉาง(จะต่างกับผัดไทยภาคกลาง ที่ใส่น้ำกระทิ มีรสเผ็ดเล็กน้อย อาจจะใส่ เต้าหู้ หรือกุ้งเปนเครื่องเคียงด้วยก็ได้)ทานพร้อมผัก ประเภทแกง แกงเหลือง แกงส้มอ้อดิบ ผัดสะตอใส่กะปิ แกงหมูกับลูกเหรียงเห็ดแครงปิ้งสาหร่ายข้อ แกงป่า ยำปลาเม็ง(เฉพาะที่่่อำเภอบ้านนาเดิมและอำเภอบ้านนาสาร)โล้งโต้ง(เฉพาะที่ สุราษฎร์ธานี)ประเภทน้ำพริก น้ำพริกกะปิ น้ำพริงมุงมัง(น้ำพริกตะลิงปิง)น้ำพริกปลาทู ประเภทอาหารทะเล เนื่องจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นชื่อเรื่องหอยนางรมที่มีขนาดใหญ่และสดแล้ว ยังมีหอยหวาน ที่มีรสชาติดีเช่นกัน แล้วยังมีกุ้งแม่น้ำตาปี ที่ตัวใหญ่ สด อร่อยอีกด้วย
กีฬาชนควาย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
กีฬาชนควาย ที่เกาะสมุยมีลักษณะคล้ายกับกีฬาชนวัวของจังหวัดสงขลา จะจัดขึ้นในโอกาสที่มีงานมงคล หรือเทศกาลต่างๆ เช่นตรุษสงกรานต์ และวันขึ้นปีใหม่
การชนควาย
ชนควายเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะในท้องที่อำเภอเกาะสมุยเป็นที่นิยมกันมาก การชนควายเริ่มมีขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่ว่าสมัยที่เกาะสมุยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ที่เกาะนี้มีควายมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ราษฎรเห็นควายเพริดเที่ยวชนกัน ขวิดกัน จึงน่าจะเป็นต้นเค้าของการนำควายมาชนกันเกิดเป็นกีฬาชนควายอย่างเช่นปัจจุบัน
การเลี้ยงควายชน ผู้เลี้ยงจะต้องรู้จักลักษณะของควาย เช่น ลักษณะของควายชนโดยทั่วไป ถ้าเป็นควายดำจะต้องมีหางพวง มีขวัญเป็นเอก เท้าหน้า เท้าหลัง แข็งแรง หน้าใหญ่ โคนหางใหญ่ สีกายดำสนิท เป็นต้น ถ้าเป็นควายขาว (เผือก) จะต้องมีหางสั้น หน้าผากนูน และผิวกายสดใส
การเลี้ยงควายชนจะต้องเลี้ยงดูอย่างพิถีพิกันเช่นเดียวกับการเลี้ยงวัวชน ควายต้องได้ออกกำลังสม่ำเสมอ ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ และจะต้องได้มีโอกาสฝึกชนในบางครั้ง นอกจากนี้จะต้องระมัดระวังไม่ให้ใครเข้าใกล้ โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามในระยะเวลาใกล้ๆจะถึงเวลาที่จะชน เพราะอาจจะมีผู้วางยาทำให้เสียควายได้
ก่อนการชนจะมีการเปรียบคู่ชน โดยเจ้าของควายทั้งสองจะต้องไปดูควายของฝ่ายตรงข้าม หากไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันมากก็จะยินยอมให้ชนกันได้แต่เดิมการชนควาย ชนกันหลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว สนามชนควายก็คือนาข้าวนั่นเอง ส่วนใหญ่จะนัดชนกันในโอกาสงานประจำปีของวัดต่างๆ หรืองานตรวจเลือกทหาร แต่ในปัจจุบันการชนควายในสนามทุ่งนาหมดไป เนื่องจากมีผู้เปิดบ่อนชนควายขึ้นซึ่งชนกันได้ทุกฤดูกาล
เมื่อใกล้ถึงวันจะชนการดูแลรักษาควายจะต้องพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น เจ้าชองต้องนำควายไปเลี้ยงดูใกล้ๆกับสนาม เมื่อถึงเวลาชนจะมีหมอไสยศาสตร์ของแต่ละฝ่ายทำพิธีกันอย่างเอาจริงเอาจัง พิธีจะหมดสิ้นลงเมื่อปล่อยควายเข้าชนกันแล้ว การชนจะยุติลงเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้วิ่งหนีออกจากสนาม
ความเชื่อเกี่ยวกับควายชนก็เหมือนๆกับวัวชน คือเชื่อเรื่องลักษณะของควายที่มีลักษณะต้องตามตำราว่าจะได้เปรียบควายคู่ชน ที่มีลักษณะด้อยกว่า และควายที่มีลักษณะดีจะนำความเป็นศิริมงคลมาสู่ผู้เลี้ยง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่นๆอีกมาก
การชนควายมีชนกันทั่วไปในอำเภอที่มีการทำนาของจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ที่มีชนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็เฉพาะที่อำเภอเกาะสมุยเท่านั้น
เที่ยวชม งานวันเงาะโรงเรียน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
งานวันเงาะโรงเรียน เงาะโรงเรียนเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของสุราษฎร์ธานี จนได้เป็นหนึ่งในคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า "เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"
งานวันเงาะโรงเรียน จัดขึ้นประมาณ 2-8 สิงหาคมของทุกปี งานวันเงาะโรงเรียน ซึ่งถือว่าเป็นผลิตผล ทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของจังหวัด เงาะโรงเรียนที่มีคุณภาพ เปลือกภายนอกขนต้องไม่ยาวมาก มีผิวสีแดงอมชมพูไม่แดงจัด เนื้อในต้องหวาน กรอบ ล่อนไม่ติดเมล็ด งานนี้จะจัดขึ้น บริเวณสนามศรีสุราษฎร์ และริมเขื่อนแม่น้ำตาปีในตัวเมือง เพื่อนำผลิตผลเงาะโรงเรียน และผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ มาแสดงและจำหน่ายแก่ผู้สนใจ กิจกรรมที่นอกเหนือจากนี้ได้แก่ นิทรรศการทางการเกษตร การแสดงของสุนัขสงคราม กองบิน 71 การแข่งขันลิงขึ้นมะพร้าว การประกวด นกเขาใหญ่การแข่งขันจักรยานสามล้อและการ ประกวดธิดาเงาะ ประกวดรถประดับด้วยผลเงาะและผลไม้อื่นๆ
ประวัติความเป็นมา
เงาะโรงเรียน หรือ เงาะพันธุ์โรงเรียน เป็นเงาะพันธุ์ดีที่สุดในประเทศไทย และเป็นเงาะพันธุ์ดีที่สุดในโลก เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เงาะโรงเรียน มีชื่อมาจากสถานที่ต้นกำเนิดของเงาะ คือ โรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เงาะต้นแม่พันธุ์มีเพียงต้นเดียว ปลูกด้วยเมล็ดเมื่อ พ.ศ. 2469
ผู้ปลูกเงาะต้นแม่พันธุ์นี้ เป็นชาวจีนสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ นายเค หว่อง (Mr. K Wong) มีภูมิลำเนาเดิมอยู่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอนาสาร ตั้งอยู่บนฝั่งคลองฉวาง ตรงข้ามกับโรงเรียนนาสาร ปัจจุบัน นายเค หว่อง ได้ซื้อที่ดินริมทางรถไฟด้านทิศตะวันตก จำนวน 18 ไร่ สร้างบ้านพักของตนและได้นำเมล็ดพันธุ์เงาะจากปีนัง มาปลูกทางทิศเหนือของบ้านทั้งสิ้น 4 ต้น (ขณะนี้เงาะพันธุ์นี้ที่เมืองปีนังสูญพันธุ์แล้ว) แต่มีเพียงต้นที่สองเท่านั้นที่มีลักษณะพิเศษ เมื่อสุกแล้วรสชาติหวาน หอม เนื้อกรอบ เปลือกบาง เงาะต้นนี้ก็คือ “เงาะพันธุ์โรงเรียน” พ.ศ.2479 เมื่อ นายเค หว่อง เลิกกิจการเหมืองแร่กลับเมืองปีนัง ได้ขายที่ดินผืนนี้พร้อมบ้านพักแก่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) ทางราชการจึงปรับปรุงให้เป็นอาคารเรียน และย้ายโรงเรียนนาสารจากวัดนาสารมาอยู่ที่อาคารแห่งนี้ เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2479 แต่เงาะพันธุ์โรงเรียนก็ไม่ได้แพร่หลาย เนื่องจากการส่งเสริมด้านการเกษตรไม่ดีพอ และทางโรงเรียนสงวนพันธุ์ไว้ ไม่ให้แพร่หลายในระหว่าง พ.ศ. 2489-2489 มีผู้ตอนกิ่งไปขยายพันธุ์ได้เพียง 3-4 รายเท่านั้น สาเหตุที่สงวนพันธุ์น่าจะเนื่องมาจาก กลัว “ต้นแม่พันธุ์” จะตาย ต่อมาปี พ.ศ. 2499 นายคำแหง วิชัยดิษฐ์ ได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านนาสาร และพิจารณาแล้วว่า เงาะต้นนี้เป็นเงาะพันธุ์ดี ควรให้มีการขยายพันธุ์อย่างแพร่หลาย จึงอนุญาตให้คนทั่วไปตอนกิ่งแพร่พันธุ์ได้ แต่การแพร่พันธุ์ก็ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
พ.ศ. 2500-2501 ได้มีการทาบกิ่งแพร่พันธุ์ และเวลาเดียวกันนั้น มีเงาะจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส แพร่หลายเข้ามา คือ เงาะพันธ์ยาวี เงาะพันธุ์เจ๊ะโรง เงาะพันธุ์เปาราง ชาวบ้านนาสารเห็นว่า เงาะต้นนี้ยังไม่มีชื่อพันธุ์ได้ จึงเรียกกันว่า “เงาะพันธุ์โรงเรียน”
พ.ศ. 2502 เริ่มมีการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา ทำให้แพร่พันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
พ.ศ. 2505 เงาะต้นแม่พันธุ์ หักโค่น เนื่องมาจากมหาวาตภัยในภาคใต้ ทางโรงเรียนจึงได้ขยายพันธุ์ไว้ 40 ต้น
พ.ศ. 2512 ผู้นำชาวสวนเงาะผู้หนึ่ง ทูลเกล้าถวายผลเงาะโรงเรียนแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอพระราชทานชื่อพันธุ์เสียใหม่ แต่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ชื่อเงาะพันธุ์โรงเรียนดีอยู่แล้ว” ตั้งแต่นั้นจึงไม่มีใครกล้าเปลี่ยนชื่อเงาะพันธุ์นี้
ลักษณะเด่นๆ ของเงาะพันธุ์โรงเรียนนาสารนี้ ได้แก่
1. เป็นเงาะเฉพาะถิ่น ขยายพันธ์ง่าย แพร่พันธุ์เร็ว ดังนั้นแม้จะนำไปปลูกในถิ่นอื่นได้ แต่รสชาติเงาะจะไม่ดี และเนื้อเงาะไม่กรอบเท่ากับต้นแม่พันธุ์ที่ตำบลนาสาร
2. เป็นเงาะรสดีที่สุด เนื้อกรอบ รสหวานหอม ผลค่อนข้างกลม เมื่อผลสุกปลายขนมีสีเขียว
3. เงาะพันธุ์โรงเรียน มีข้อด้อยประการหนึ่ง คือ เปลือกผลบาง หากมีฝนตกชุกเมืองผลเงาะ โตจะทำให้เปลือกแตก ผลร่วง เสียหาย
4. ลักษณะเด่นของต้นเงาะ คือ ลำต้นไม่สูง ต่างจากเงาะพันธุ์อื่น ทรงพุ่ม โดยปกติจะเตี้ย แผ่ออกทางด้านข้างมาก (ขึ้นอยู่กับวิธีปลูก และการตัดแต่งด้วย) ใบเงาะจะเล็กหนา ปลายค่อนข้างมนก้านใบเห็นเด่นชัด
จ.สุราษฏร์ธานี มี 18 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ
1.อำเภอเมือง สุารษฏร์ธานี
|
2.อำเภอพนม
เขาสก เขื่อนเชี่ยวหลาน
เขาสก หรือ เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราฎร์ธานี ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก ลักษณะเป็นภูเขาหินปูน ยอดแหลม แนวหน้าผาสูงชัน กลางสายน้ำของเขื่อนเชียวหลาน บรรยากาศสวยงาม จนได้รับสมญานามว่า กุ้ยหลินเมืองไทยภาพภูเขารายล้อมเขื่อน นอนแพพายเรือคายัคและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งภาพไอหมอกกระทบ กับแสงแดดลอยเหนือน้ำใน ยามเช้าเป็นทัศนียภาพที่สวยงามดึงดูดใจและสร้างความประทับใจ แก่นักท่องเที่ยว ให้เดินทางมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย ช่วงที่เหมาะ ที่สุดในการไปอุทยานแห่งชาติเขาสกจึงอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-เมษายน และจะเริ่ม มีฝนตกตั้งแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม และจะตกชุกมากในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน
เขาสก จะแบ่งจุดท่องเที่ยวออกเป็น 2 ส่วน คือ เขาสกส่วนของเขื่อนเชี่ยวหลานซึ่งนักท่องเที่ยวชทวิวทิวทัศน์เหนือเขื่อน จากนั้น ลงเรือเพื่อไปนอนแพ ชมเขาสามเกลอ(ภูเขาหินกลางน้ำ) ซึ่งเรียกว่ากุ้ยหลินเมืองไทย เที่ยวถ้ำประการัง ถ้ำน้ำทะลุ กับ เขาสกส่วนที่เป็นที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสกซึ่งเป็นจุดที่ไปชม น้ำตก เดินป่า และ ชมบัวผุดจะอยู่คนละแห่งกัน ห่างกันประมาณ 60 ก.ม. ซึ่งโปรแกรมที่เป็นที่นิยมซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมท่องเที่ยว ซึ่งจะคล้ายๆกันก็คือ เที่ยวเขาสก ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน โดยวันแรกวันแรก ชมวิวทิวทัศน์เหนือเขื่อน ลงเรือนอนแพ เที่ยวชมถ้าปะการัง ชมเขาสามเกลอ ซึ่งจุดนี่ค่ะ ที่จะเรียกว่า กุ้ยหลินเมืองไทยนอนแพ เล่นน้ำ พายเรือคายัค ส่วนวันที่ 2 ก็กลับขึ้นมายังฝั่งเขื่อนเชี่ยวหลาน จากนั้นก็ไปเที่ยวยัง เขาสก ส่วนที่เป็นอุทยาน เดินป่า ชมดอกบัวผุด ซึ่งต้องเดินเข้าไปประมาณ 2 กม. หรือบางทีก็อาจ 5 กม. จะบานในช่วงเดือน พ.ย. – มี.ค.
วิวทิวทัศน์เหนือเืขื่่ือนเขี่ยวหลาน | |
บรรยากาศระหว่างล่องเรือไปชมกุ้ยหลิน เมืองไทย | |
ภูเขาหินที่เรียกว่า กุ้ยหลินเมืองไทย | |
เขาสามเกลอ | |
ขึ้นแพไปชมถ้ำปะการัง | |
ถ้ำปะการัง | |
ในวันเด็กพาครอบครัวไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสก อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี
แวะเติมแก๊สเต็มถังที่ปั๊มแก๊สไชยา ผ่านเขื่อนเชี่ยวหลาน มุ่งสู่ อช.เขาสก
3.อำเภอกาญจนดิษฐ์
อำเภอกาญจนดิษฐ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับอ่าวไทย
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอดอนสัก และอำเภอสิชล (จังหวัดนครศรีธรรมราช)
- ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอนบพิตำ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) และอำเภอบ้านนาสาร
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอบ้านนาสารและอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
|
|
|
|
หอยขาวอร่อยดี คันธุลีทุเรียนเด็ด หาดสำเร็จเที่ยวสบาย ท่ากระจายผ้าไหมงาม
เลื่องลือนามระกำหวาน ไหว้อังคารพุทธทาส ชมธรรมชาติเขาประสงค์ ลืมไม่ลง...ท่าชนะ
ประวัติ
อำเภอท่าชนะ
เป็นอำเภอเก่าแก่อำเภอหนึ่งมาแต่โบราณ เมื่อ พ.ศ. 2437- 2441 ปรากฏหลักฐานว่า เคยเป็นอำเภอมาแล้วเรียกว่า อำเภอประสงค์หรือพสง ตั้งที่บ้านปากน้ำบ้าน ท่ากระจาย ปรากฏหลักฐานในเอกสารสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องมณฑลชุมพร ปี พ.ศ.2441ตอนหนึ่งว่า “….อำเภอพสง (ประสงค์-ผู้เขียน) ทิศเหนือติดต่อกับเมืองหลังสวนเดิมพระวัฒนอุดม (พง) ว่าที่กรมการอำเภอ (นายอำเภอ-ผู้เขียน) ตั้งที่ว่าการอำเภอพสงพระวัฒนอุดม ไม่พอ(ใจ) ลาออก ให้นายปานว่าที่กรมการตั้งที่ว่าการริมคลองริริน้ำตำบลท่าจาย (ท่ากระจาย-ผู้เขียน)
|
มีหลักฐานตั้งแต่ ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2451) ว่า พื้นที่อำเภอท่าชนะในปัจจุบันเดิมอยู่ในเขตพื้นที่ของ อำเภอประสงค์ ขึ้นอยู่กับเมืองไชยา สังกัดมณฑลชุมพร ต่อมา ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2453) เมื่อมีการปรับปรุงหัวเมืองและเทศาภิบาลทั้งหลาย อำเภอประสงค์ถูกยุบลงเป็นกิ่งอำเภอประสงค์ ภายหลังถูกยุบลงอีกเป็นตำบล สังกัดกับเมืองไชยา หลังจากนั้นได้มีการรวมพื้นที่ของตำบลประสงค์ วัง ท่าชนะ สมอทอง และคันธุลี ตั้งเป็น กิ่งอำเภอท่าชนะ และเมื่อ พ.ศ. 2499 จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอท่าชนะ จนถึงปัจจุบัน
|
ฟาร์มหอยแครง แหล่งกุ้งกุลาดำ แห่พระน้ำประจำปี ประเพณีแข่งเรือ ล้นเหลือนาข้าว
มะพร้าวหมากพลู งามหรูธารน้ำร้อน อนุสรณ์พ่อท่านแบน หมื่นแสนตาลโตนด ของโปรดเคยกุ้ง
อำเภอท่าฉาง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมท้องที่นี้ก่อนยกฐานะเป็นอำเภอขึ้นอยู่ในเขตปกครองของอำเภอไชยา เดิมเรียกว่า " เมืองไชยา " ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2453 กระทรวงมหาดไทยยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่า " กิ่งอำเภอท่าฉาง " ขึ้นอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอไชยา ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2481 เรียกว่า " อำเภฟอท่าฉาง " มาจนปัจจุบัน
|
ประวัติความเป็นมา : | |
คำว่าท่าฉาง มาจากคำว่า "ท่า" หมายถึงท่าน้ำริมคลองริมแม่น้ำ "ฉาง" หมายถึงฉางข้าวที่เก็บรวบรวมข้าวเพื่อจัดส่งเป็นสวยหรืออากร ราษฏรจึงรวมเรียกพื้นที่รวบรวมข้างแห่งนี้ว่า"ท่าฉาง" จนถึงปัจจุบัน และใช้เป็นชื่อของอำเภอท่าฉาง และตำบลท่าฉางด้วย | |
สภาพทั่วไปของตำบล : | |
ตำบลท่าฉางตั้งอยู่ทางตอนใต้ของที่ว่าการอำเภอ มีคลองท่าฉางเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลอ่าวไทย สภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ลาดเทจากตะวันตกสู่ชายฝังทะเลด้านตะวันออก | |
อาณาเขตตำบล : | |
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ทิศใต้ ติดกับ ตำบลท่าเคย อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ทิสตะวันออก ติดกับ อ่าวบ้านดอน (อ่าวไทย) ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.เสวียด อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี | |
จำนวนประชากรของตำบล : | |
จำนวนประชากรในเขต อบต. 2,254 คน และจำนวนหลังคาเรือน 628 หลังคาเรือน | |
ข้อมูลอาชีพของตำบล : | |
อาชีพหลัก ทำนา/ทำสวน/ทำไร่/ประมง (เลี้ยงกุ้งและประมงชายฝั่ง) อาชีพเสริม ค้าขาย/รับจ้าง | |
ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล : | |
1. โรงพยาบาลท่าฉาง 2. สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ 3. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดจันทาราม 4. วัดจำนวน 5 วัด 5.สำนักงานสาธารณสุขอำเภอท่าฉาง 6. โรงเรียนประถมศึกษา 4 โรง | |
เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ : กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น | |
ข้อมูลองค์การบริหารส่วนตำบล 9.อำเภอบ้านนาสาร
เลิศล้ำถ้าผา เพลินตาน้ำตกสวย
งดงามด้วยอุทยาน
|
น้ำตกเหมืองทวด จังหวัดสุราษฎร์ธานี
น้ำตกเหมืองทวดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง "น้ำตกเหมืองทวด" อีกหนึ่งน้ำตกสวยของอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น อยู่ในฟื้นที่ตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นน้ำตกที่รู้จักกันแพร่หลายในเขตอำเภอบ้านนาสาร มี 7 ชั้น ชั้นสูงสุดสูง
เที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี น้ำตกเหมืองทวด
"น้ำตกเหมืองทวด" อีกหนึ่งน้ำตกสวยของอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น อยู่ในฟื้นที่ตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นน้ำตกที่รู้จักกันแพร่หลายในเขตอำเภอบ้านนาสาร มี 7 ชั้น ชั้นสูงสุดสูงประมาณ 20 เมตร
บริเวณน้ำตกร่มรื่นมีแอ่งน้ำสวยงาม ตลอดทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในฟื้นที่และจากต่างฟื้นที่ ไปเยือนอยู่ไม่ขาด เส้นทางสู่น้ำตกร่มรื่น มีไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบให้เห็นตลอดสองข้างทาง
การเดินทาง : สามารถเดินทางจากอำเภอ บ้านนาสาร โดยเริ่มจากอำเภอบ้านนาสารไปตามทางหลวงแผ่นดินสายนาสาร-บ้านส้อง ประมาณ 12 กิโลเมตร แล้วแยกไปตามถนนบ้านช่องช้าง-เหมืองทวด ประมาณ 8 กิโลเมตร
ถ้ำขมิ้น
ถ้ำขมิ้น เป็นถ้ำที่มีประวัติยาวนานตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมากล่าวว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราย มีพระราชดำริให้ท่านขุนวรรณวงศ์ษาเดินทางมาบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุนครศรีธรรมราช ขณะเดินทางถึง อ.บ้านนาสาร เป็นฤดูน้ำหลากจึงได้ต่อเรือข้ามคลองฉวางแต่เนื่องจากน้ำที่ไหลเชี่ยวกราดมากทำให้ เรือชนกับตอไม้จนเรือแตก กระแสน้ำพัดคณะของท่านมาติดบริเวณถ้ำขมิ้น คณะของท่านฯได้ออก สำรวจพื้นที่รอบๆ จนพบถ้ำขมิ้นและอาศัยอยู่ในถ้ำจนสิ้นชีวิต
สถานที่ท่องเที่ยว
น้ำตกดาดฟ้า
น้ำตกดาดฟ้า ซึ่งในอดีตเคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยุ่ในอำเภอบ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี น้ำตกดาดฟ้า จัดว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่และสูงที่สุดในจังหวัด มีหมู่ไม้นานาพันธ์คอยให้ความร่มรื่นสวยงาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี เป็นน้ำตกที่มีน้ำตลอดทั้งปี น้ำตกแห่งนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น
10.อำเภอพระแสง
“แทรกเตอร์พระราชทาน มีตำนานท่านหญิง งามจริงบางสวรรค์
ปาล์มน้ำมันชั้นดี ธารตาปีสัมพันธ์ มหัศจรรย์สระแก้ว”
ประวัติความเป็นมา
“พระแสง” เป็นอำเภอเก่าแก่อำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถูกจัดตั้งครั้งแรกปี พ.ศ. 2439 (ร.ศ.114) หรือประมาณ 11๕ ปีเศษ เดิมขึ้นอยู่กับมณฑลนครศรีธรรมราชครั้นเมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2449 (ร.ศ. 124) ทางราชการได้โอนอำเภอพระแสง มาขึ้นกับเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
คำว่า “พระแสง” นั้น ตามตำนานโบราณเล่าว่า ในสมัยที่อำเภอพระแสงกับมณฑลนครศรีธรรมราช ทางราชการได้ส่ง “พระแสงภิรมย์” มาปกครองเมืองพระแสงเพื่อดูแลความทุกข์สุขของราษฎรและได้เข้ามาดำเนินการบุกเบิกแผ้วถางเพื่อสร้างที่ว่าการอำเภอพระแสง โดยให้ราษฎรช่วยกันตัดต้นไม้ ขุดดิน ปรากฏว่าได้ขุดพบดาบเล่มหนึ่ง มีลักษณะไม่เหมือนดาบทั่วไป แต่มีลักษณะเหมือนดาบของกษัตริย์ จึงได้นำดาบเล่มนั้นมาประดิษฐานไว้บนที่ว่าการอำเภอ และได้ขนานนามอำเภอว่า”อำเภอพระแสง”ตั้งแต่นั้นมา ต่อมาพระแสงดาบเล่มนั้นถูกส่งไปอยู่ ณ ที่ใด ไม่ปรากฏหลักฐานองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ และพระราชวงศ์ได้เสด็จมาปฎิบัติพระกรณียกิจ ด้านการพัฒนา พระราชทานความช่วยเหลือพสกนิกรอำเภอพระแสง เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ และทรงเสด็จอีกครั้งเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๑ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานรถแทรกเตอร์บุลโดเซอร์ ดี ๔ ไว้ ๑ คัน เพื่อบุกเบิกพัฒนาพื้นที่อำเภอพระแสง(ปัจจุบันได้จัดแสดงไว้เป็นอนุสรณ์สถานไว้ที่บริเวณแยกไสนา) นอกจากนั้นแล้วพระองค์ทั้งสองทรงปลูกต้นราชพฤกษ์ ไว้ จำนวน ๒ ต้นบริเวณหน้าที่ว่าอำเภอพระแสงซึ่งป้ายแสดงไว้ว่า “ต้นไม้ที่พ่อปลูก”
|
เมืองเวียงสระ เป็นเมืองโบราณอายุรุ่น
ราวคราวเดียวกับเมืองไชยา แต่มีอายุสั้นกว่า ตั้งอยู่ ในแถบที่ราบลุ่ม แม่น้ำตาปีและแม่น้ำพุมดวง มีศูนย์ กลางอยู่ที่ตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ ริมฝั่งขวา ของแม่น้ำตาปีหรือแม่น้ำหลวง เป็นเมืองที่มีอายุอยู่ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11 - 15 หรือ 16 หลังจากนี้ ก็ดูจะเลิกร้างไป เนื่องจากสภาพสถานที่ตั้งเมืองไม่ เหมาะสม อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ การคมนาคม ติดต่อกับเมืองอื่นลำบาก โดยเฉพาะการติดต่อกับ เมืองอื่นทางทะเลทำไม่ได้คล้ายกับเป็นเมืองปิด แม้จะมีเมืองท่าอยู่ปากอ่าว แต่ก็ยังอยู่ไกลไปมาลำบาก การติดต่อค้าขายให้เจริญ ขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ไม่ได้ อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บก็มิใช่น้อย จึงต้องอพยพเคลื่อน ย้ายไปอยุ่ที่อื่น ภายหลังส่งผู้คนกลับมาบุกเบิกอีก ก็เป็นเพียงการขยายชุมชน สร้างสมเสบียงกรัง และเพื่อ แสวงหาโภคทรัพย์บำรุงบ้านเมือง
|
|
เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เกาะพะงันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากเกาะสมุยไปทางทิศเหนือ ประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที และอยู่ห่างตัวจังหวัด 100 กิโลเมตร เกาะพะงันมีเนื้อที่ 170 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในจำนวน 48 เกาะ
สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เกาะพะงัน อยู่ห่างจาก เกาะสมุย ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที และอยู่ห่างตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี 100 กิโลเมตร เกาะพะงันมีเนื้อที่ 170 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในจำนวน 48 เกาะ ที่ตั้งอยู่ในช่องอ่างทอง ภูมิประเทศของเกาะพะงันมีภูเขาอยู่ตรงกลางเกาะ ทอดตัวจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีที่ราบทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเทือกเขาจรดทะเล บางแห่งก็มีอ่าวเล็กอ่าวน้อยเรือเข้าจอดได้เป็นบางฤดู ช่วงมรสุมตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงเดือนมกราคม จะมีลมตะวันออกพัดผ่านซึ่งไม่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยว เกาะพะงันมีชายหาดขาว น้ำทะเลใสน่าเล่นน้ำหลายหาด ร่มรื่นด้วยทิวไม้ริมชายหาด ความเงียบสงบของชายหาดต่าง ๆ บนเกาะเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวจะได้พบ เกาะพะงัน เป็นเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นเวลาช้านาน สันนิษฐานว่าพวกแรกที่มาอยู่บนเกาะพะงันน่าจะเป็นแขกจากมลายูที่อยู่แถบ จังหวัดนครศรีธรรมราชหรือไม่ก็เป็นพวกแขกที่มาจากปัตตานีมาอาศัยทำการประมง เป็นหลัก โดยสังเกตจากชื่อของเกาะและสถานที่บางแห่งบนเกาะ
สถานที่น่าสนใจบนเกาะพะงัน
ท้องศาลา เป็น ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอเกาะพะงัน เป็นศูนย์กลางของการติดต่อค้าขายของธุรกิจต่าง ๆ และเป็นที่ตั้งของท่าเรือโดยสารสำหรับการเดินทางไปสุราษฎร์ธานี เกาะสมุย เกาะเต่า มีธนาคาร บริษัทนำเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ท่าจอดรถสองแถว
อุทยานแห่งชาติน้ำตกธารเสด็จ เดิมชื่อ วนอุทยานน้ำตกแพง มีพื้นที่ 41,250 ไร่ รวมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเกาะพะงัน และพื้นที่ป่าที่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ที่อยู่รอบเกาะพะงัน อุทยานฯ ยังคงสภาพของป่าที่สมบูรณ์ มีพืชหลากหลายชนิด และมีกล้วยไม้ที่ลำต้นใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ เพชรหึงหรือว่านหางช้าง โดยลำต้นที่มีความสูงกว่าสามเมตร เมื่อออกดอกก้านช่อดอกมีความยาวกว่าสองเมตร ดอกใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร กลีบดอกสีเขียวจนถึงเหลืองทอง และมีแต้มสีน้ำตาลแดงกระจายไปทั่ว ความสมบูรณ์ของป่าทำให้มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลายชนิด อาทิ กวางป่า หมูป่า ค่างแว่นถิ่นใต้ และชะมด รวมทั้งนกต่าง ๆ อุทยานฯ มีต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์คือ ต้นพะงาหรือต้นวา มียอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดเขาหรา สูง 627 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของเกาะพะงัน สภาพอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี การเดินทาง สามารถเช่ารถจากหาดท้องศาลาซึ่งอยู่ห่างจากอุทยานฯ 5 กิโลเมตร
สถานที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ
น้ำตกแพง เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ เป็นน้ำตกที่สวยงามมีหลายชั้น เช่น แพงน้อย ธารน้ำรัก ธารกล้วยไม้ เป็นหนึ่งในสายธารเล็ก ๆ ของสายน้ำตกแพง (แพง ภาษาถิ่นหมายถึง เพิงหินเล็ก ๆ ที่ลดหลั่นอันแสดงถึงความชุ่มชื้นของผืนป่า) ที่มีน้ำไหลตลอดปีที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของผืนป่า และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ น้ำตกแพง-จุดชมวิวโดมศิลา ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เป็นเส้นทางที่เดินเลียบน้ำตก ทางชันเล็กน้อย ในเส้นทางจะพบพรรณไม้ต่าง ๆ ลำธารและน้ำตก ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งกล้วยไม้เพชรหึง กล้วยไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานฯ อีกด้วย
จุดชมวิวโดมศิลา อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 500 เมตร เป็นจุดชมวิว และชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
น้ำตกธารเสด็จ อยู่ตำบลบ้านใต้ เป็นน้ำตกที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสและได้พระราชทานนามไว้ อีกทั้งเป็นน้ำตกที่ทรงโปรดมาก โดยได้เสด็จประพาสถึง 14 ครั้งตลอดรัชกาล นอกจากนั้น รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 พร้อมพระมเหสี และรัชกาลที่ 9 ก็เคยเสด็จประพาส และได้จารึกพระปรมาภิไธยย่อไว้ที่ก้อนหินบริเวณน้ำตกทุกพระองค์ การเดินทางไปน้ำตกธารเสด็จ สามารถไปได้ทั้งทางเรือและทางรถ หากเดินทางโดยทางเรือ เมื่อเริ่มเข้าอ่าวธารเสด็จจะพบความงามของภูเขาโขดหินที่มีรูปร่างแปลก ๆ และหาดทรายสีขาว เมื่อขึ้นจากเรือแล้วเดินไปไม่ไกลนักจะพบกับลำธารมีกระแสน้ำไหลผ่านปะทะแก่ง หินที่มีอยู่มากมาย ทำให้เกิดเสียงดังตามความเร็วของกระแสน้ำ ช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม ไม่สามารถนั่งเรือไปน้ำตกได้ และถ้าเป็นทางรถจะต้องเป็นรถที่มีสมรรถนะสูงจึงจะสามารถเดินทางไปได้ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนการเดินทางจะลำบากมาก เพราะทางที่ผ่านจะเป็นทางลาดชันตลอดและเป็นภูเขาสูง การเดินทางจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
อุทยานฯ ไม่มีบ้านพักบริการ แต่มีเต็นท์ให้เช่าหรือจะนำเต็นท์มาเองก็ได้ สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ อุทยานแห่งชาติน้ำตกธารเสด็จ-เกาะพะงัน ตู้ ป.ณ. 1 อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84280
- 15. อำเภอบ้านนาเดิม
ประวัติ
เดิมชื่อ อำเภอลำพูน มี 7 ตำบล คือ บ้านนา ท่าเรือ กอบแกบ ทุ่งเตา อิปัน พระแสง และพนม ตั้งขึ้นจากการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินในส่วนภูมิภาค ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวร.ศ. 118 (พ.ศ. 2442) ได้แยกตำบลอิปัน พนม และพระแสง ไปตั้งเป็นอำเภอพระแสงและกิ่งอำเภอพนมแล้วโอนตำบลเวียงสระ ทุ่งหลวง ท่าชี และนาสารมาขึ้นกับอำเภอลำพูนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2460 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่ออำเภอลำพูนเป็นอำเภอบ้านนา โดยเห็นว่าตัวที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านนาวันที่ 1 กรกฎาคม 2481 ทางราชการได้ย้ายตัวที่ว่าการอำเภอบ้านนาไปตั้งที่ตำบลนาสารแล้วตั้งชื่อใหม่ว่าอำเภอบ้านนาสาร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2482 เป็นต้นมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2519 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอบ้านนาเดิมขึ้นมา โดยแยกท้องที่อำเภอบ้านนาสารมา 2 ตำบล คือ ตำบลบ้านนา และตำบลท่าเรือ โดยใช้สถานที่วัดทองประธานเป็นที่ตั้งที่ว่าการกิ่งอำเภอชั่วคราว ต่อมาได้มีการแบ่งเขตการปกครองออกอีก 2 ตำบล คือ ตำบลทรัพย์ทวี แยกมาจากตำบลท่าเรือ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2525 ตำบลนาใต้ แยกมาจากตำบลบ้านนา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2526วันที่ 21 พฤษภาคม 2533 ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า 1 เล่ม 107 ตอน 83 ยกฐานะกิ่งอำเภอบ้านนาเดิมเป็น อำเภอบ้านนาเดิม
16. อำเภอชัยบุรีประวัติ
กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งกิ่งอำเภอชัยบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ โดยโอนพื้นที่ตำบลสองแพรกและตำบลชัยบุรีของอำเภอพระแสง รวมพื้นที่ ทั้งหมด ๔๓๐ ตารางกิโลเมตร เป็น “กิ่งอำเภอชัยบุรี” ชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ขุนชัยบุรีซึ่งเป็นนายอำเภอพระแสงคนแรก
กิ่งอำเภอชัยบุรี ได้เปิดทำการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๔ ซึ่งใช้ศาลาการเปรียญวัดสมัยสุวรรณ หมู่ที่ ๑ตำบลสองแพรก เป็นที่ทำการชั่วคราว โดยมี นายวิสูตร ตันสุทธิวนิช เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอคนแรก เมื่อ พ.ศ ๒๕๒๖กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอ ซึ่งเดิมได้เตรียมที่ดินสำหรับก่อสร้าง ฯ ไว้ ๒ แปลงแปลงคนแรกอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลสองแพรก และแปลงที่สองอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตำบลชัยบุรีในระยะแรกตกลงจะสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอในที่ดินแปลงแรกแต่นายนภา กาญจนกีรณา ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากิ่ง ฯ ในขณะนั้นเห็นว่าที่ดินแปลงแรกไม่เหมาะสมอยู่ในที่ลุ่มมีน้ำท่วมขังต้องใช้งบประมาณในการปรับพื้นที่ค่อนข้างสูง และที่สำคัญไม่อยู่ในกึ่งกลางของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนแปลงที่สองตั้งอยู่ในที่ดอน ไม่ต้องปรับพื้นที่มากนักเนื้อที่มากกว่าแปลงแรกและตั้งอยู่กลางของพื้นที่ทั้งหมดที่ประกาศเป็นกิ่งอำเภอ ประชาชนเขตรอบนอกโดยรวมสัญจรไปมาใกล้และสะดวกกว่าแปลงแรก จึงได้ดำเนินการสร้างอาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอในที่ดินแปลงที่สองเมื่อก่อสร้างอาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอแล้วเสร็จ จึงย้ายสถานที่ทำงานจากศาลาการเปรียญวัดสมัยสุวรรณ มาอยู่ ณที่ว่าการกิ่งอำเภอที่สร้างใหม่ เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๗ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอเป็นอำเภอ และได้แต่งตั้ง นายนิพันธ์ ชลวิทย์ เป็นนายอำเภอคนแรก
17. อำเภอชัยบุรี
พุนพินเป็นเมืองเก่าโบราณ สันนิฐานว่าเกิดขึ้นราวสมัยพุทธศตวรรตที่ 8 - 10 สมัยอาณาจักรศรีวิชัยโดย
มีหลักฐานศิลปวัตถุเทวรูปพระนารายณ์,ลูกปัด,โบราณสถาน เขาศรีวิชัย และวัดเก่าแก่หลายแห่ง ซึ่งเป็น
เมืองพักสินค้า เดิมมีชื่อเรียกว่า พั้น - พั้น หรือ พาน - พาน ต่อมาได้เรียกภาษาเพี้ยนไปเป็น
“พุนพิน” จนถึงปัจจุบัน
อำเภอพุนพินเป็นอำเภอที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแต่อดีต โดยนักประวัติศาสตร์
ได้สันนิษฐานตามจดหมายของพ่อค้าชาวอาหรับ และชาวจีน ว่า ชาวอินเดีย ทางภาคใต้ได้มาติดต่อค้าขาย
กับชาวสุวรรณภูมิแห่งนี้ด้วย โดยเรือสำเภาโดยสารไปยังปากน้ำคีรีรัฐ (คลองพุ่มดวง)
และที่นั่นได้กลายเป็นเมืองท่าพักสินค้าขนาดใหญ่
บ่อน้ำพุร้อนท่าสะท้อน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วย หมู่ที่ 6 ตำบลท่าสะท้อน ระยะทางจากตัวอำเภอประมาณ13 กม. สนใจติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผู้ใหญ่สุภาภรณ์ อินทนาศักดิ์ โทร. 086-9438131
วัดถ้ำสิงขร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วัดถ้ำสิงขร ตั้งอยู่ที่บ้านถ้ำสิงขร หมู่ที่ 3 ตำบลถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากองค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำสิงขรประมาณ 200 เมตร อยู่ห่างจากอำเภอคีรีรัฐนิคมประมาณ 12 กิโลเมตรและห่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 51 กิโลเมตรเป็นวัดที่เก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีถ้ำขนาดใหญ่ หน้าถ้ำมีเจดีย์สร้างเลียนแบบสมัยศรีวิชัย ประดับด้วยถ้วยชามโบราณ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท รูปปูนปั้นเทวดายักษ์ สัตว์ในเทพนิยาย ส่วนฝาผนัง เพดานถ้ำประดับด้วยถ้วยชามโบราณโบราณสถานวัดถ้ำสิงขร มีถ้ำโบราณที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ที่ฝาผนังถ้ำประดับด้วยเครื่องลายครามสมัยโบราณและภาพวาดฝาผนัง อันเป็นจิตกรรมที่ต้องอนุรักษ์ข้างในถ้ำมีพระประทานองค์ใหญ่ชาวบ้านเรียกว่า "พระมาลัย" ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวตำบลถ้ำสิงขรและใกล้เคียง หน้าถ้ำเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์โบราณสมัยศรีวิชัย ด้านใต้เป็นถ้ำน้ำมีสายน้ำไหลผ่านทะลุไปลำคลองบางนารายณ์มีหินงอกหินย้อยที่สวยงามมา
19. กื่งอำเภอวิภาวดี
น้ำตกวิภาวดี ลำน้ำคลองพายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในสุราษฎร์ธานี เป็นน้ำตกมีต้นน้ำกำเนิดจากเทือกเขาแดน และไหลลงมาตามลำน้ำคลองพาย น้ำตกมีจำนวน 9 ชั้นแต่ละชั้นมีความสูงและสวยงามมาก ชั้นที่สวยงามที่สุดได้แก่ น้ำตกชั้นที่ 2เที่ยว น้ำตกวิภาวดี ลำน้ำคลองพาย สุราษฎร์ธานีน้ำตกวิภาวดี เป็นน้ำตกมีต้นน้ำกำเนิดจากเทือกเขาแดนและไหลลงมาตามลำน้ำคลองพาย น้ำตกมีจำนวน 9 ชั้นแต่ละชั้นมีความสูงและสวยงามมาก ชั้นที่สวยงามที่สุดได้แก่น้ำตกชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นหน้าผาน้ำตกที่น้ำไหลลงมาแรงมากและมีแอ่งสำหรับเล่นน้ำได้ ความสูงประมาณ 15-20 เมตรบริเวณน้ำตกเป็นเขตป่าสงวนอุดมไปด้วยไม้ใหญ่หลายชนิดให้ความชุ่มชื่นควรแก่ การพักผ่อน ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว ได้แก่เดือนมกราคม-เมษายน แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงที่น่าสนใจ ได้แก่ กิจกรรมล่องแก่งคลองยัน และอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง หากสนใจที่จะพักสามารถติดต่อบ้านพักของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองยัน และบริเวณน้ำตกสามารถที่จะทำกิจกรรมและกางเต็นท์ได้การเดินทาง : สู่น้ำตกวิภาวดี อยู่ห่างจาก อำเภอวิภาวดีไปทางทิศตะวันตก ตามถนนสาย รพช.อำเภอวิภาวดี-คีรีรัฐนิคมและแยกทางขวามือปากทางเข้าน้ำตกที่บ้านเชี่ยวมะปรางหมู่ที่ 2 ตำบลตะกุกใต้ รวมระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรสภาพถนนเป็นดินลูกรังและลาดยางบางส่วน สามารถติดต่อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)